ประสบการณ์ของผมสอนว่า
สิ่งที่คนคิดว่าเป็นปัญหา มักเป็นสิ่งสะท้อนปัญหาที่อยู่ลึกลงไป
กว่านั้น
เหมือนกับที่วงการแพทย์มีหลักคิดว่า อาการไข้ เป็นเพียงอาการแสดงของโรค ที่แพทย์ควรค้นหาให้พบและวินิจฉัยให้ได้
ก่อนให้การรักษาไข้
อาจารย์มหาวิทยาลัยหญิงวัย 27 ปีท่านหนึ่ง
มาด้วยปัญหานอนไม่หลับ เมื่อคุยทำความเข้าใจภาพชีวิตของเธอ ก็พบว่า เธอทำงานหนัก ไม่ค่อยมีเวลาให้กับตัวเอง
ไม่มีเวลาออกกำลังกาย แม้จะยังมีเวลาพบปะเพื่อนฝูง
แต่เธอไม่ค่อยจะมีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่สักเท่าใดนัก
ผมสงสัยว่า อะไรทำให้เธอทำงานหนัก ไม่มีเวลาออกกำลังกาย
ซึ่งเรารู้กันว่าเป็นสาเหตุสำคัญของการนอนไม่หลับของเธอ
สาเหตุที่แท้จริง แฝงตัวอยู่ในนิสัยทางความคิดและอารมณ์กังวลของเธอเอง
เธอเล่าว่า เวลาทำงาน เธอมักจะคิดว่า “มันยังไม่ดีพอ”
“ยังมีเวลาทำให้ดีกว่านี้”
และเธอจะใช้เวลาเกินจนไม่เหลือเวลาทำอย่างอื่น
ผมถามว่า “เวลาที่คุณคิดว่า มันยังไม่ดีพอ
คุณเชื่อความคิดนี้แค่ไหน”
เธอยิ้มแล้วบอกว่า “เต็มร้อยเปอร์เซนต์ เพราะไม่เคยตั้งข้อสงสัย”
ผมจึงถามว่า “เป็นไปได้ไหม ที่คุณไม่ต้องเชื่อความคิดแบบนี้ทั้งหมด”
เธอเห็นด้วยว่า สาเหตุสำคัญที่เธอมีงานหนักเกินจำเป็น
เป็นเพราะเธอกังวลว่างานจะไม่ดีพอ
มันทำให้คุณภาพชีวิตของเธอเสียไป
และเป็นสาเหตุหนึ่งของการนอนไม่หลับ
เราตกลงกันว่า เธอจะฟังเสียงความคิดแบบนี้ของเธอให้น้อยลง แล้วตั้งเป้าหมายที่จะช่วยเป็นตัววัดง่ายๆ ว่า
อย่างน้อย เธอควรจะมีเวลาได้ออกกำลังกายสัปดาห์หนึ่ง
สัก 3-4 ครั้ง
นี่เป็นก้าวแรกสำหรับเธอ
เธอจะมองการนอนไม่หลับ ว่าเป็นสัญญาณเตือน ที่บอกถึงการจัดการชีวิตของเธอ
เธอยังตั้งเป้าหมายที่จะฝึกฝนตน ให้มีความสามารถในการจัดการความรู้สึกนึกคิดภายในใจให้ดีขึ้น
เพราะเธอตระหนักว่า มันคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ชีวิตของเธอ
มีความสุขและประสบความสำเร็จ
ลองทบทวนสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นปัญหาดูนะครับ
มันอาจเป็นอาการของปัญหาที่อยู่ลึกไปกว่านั้น
เพราะชีวิตแต่ละด้าน มันเชื่อมโยงถึงกัน
ความไม่ลงตัวในจุดหนึ่ง อาจแสดงอาการให้เห็นในอีกที่หนึ่ง